GMO คืออะไร ทำไมต้อง GMO
เมล็ดพันธุ์คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นส่วนสำคัญของการเริ่มต้นเพาะปลูก จากเมล็ดพัันธุ์ไปสู่ต้นกล้าที่ผลิดอกออกผลให้ผู้คนได้อาศัยพึ่งพิง ยิ่งการทำเกษตอินทรีย์ด้วยแล้ว ระเบียบปฏิบัติอย่างหนึ่งของผู้ที่จะทำนั้นก็คือ การห้ามใช้เมล็ดพันธุ์ที่ตัดแต่งพันธุกรรม แล้ว GMO มันคืออะไรกันล่ะ
GMO คืออะไร
GMO ย่อมาจากภาษาอังกฤษคำว่า Genetically Modified Organic sms (GMOs) เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช จุลินทรีย์ แบคทีเรีย ที่ถูกนำมาดังแปลงพันธุกรรม โดยเอายีนส์ของสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปใส่สิ่งมีชีวิตหนึ่ง เป็นการผสมข้ามสายพันธุ์หรือไม่ผ่านการผสมแบบดั้งเดิม
GMO ส่งเสริมหรือเป็นภัยต่อความมั่งคงทางอาหาร ?
คำพูดของคนที่สนับสนุนว่าพืช GMO จะแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร ฟังแล้วเหมือนเป็นคำพูดที่สวยงาม แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น เมล็ด GMO เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกผูกขาดโดยบริษัทไม่กี่บริษัท มีราคาแพง เกษตรกรไม่สามารถปลูกเก็บพันธุ์รุ่นต่อไปได้จากเมล็ด GMO ทำให้ต้องซื้อเมล็ดทุกรอบการปลูก ทั้งค่าปุ๋ยยาค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ราคาผลผลิตกลับตกต่ำ ทำให้เราเห็นบ่อยที่เกษตรกรนำผลผลิตออกมาเทข้างถนนเพื่อประท้วงเรื่องราคา ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่การผลิตได้มาก แต่อยู่ที่การทำเกษตรมีต้นทุนที่สูงแต่ขายได้ราคาต่ำ บริษัทซื้อในราคาต่ำมากแต่นำไปแปรรูปแล้วขายให้ผู้บริโภคในราคาสูง เป็นการรับซื้อที่ไม่เป็นธรรม แล้วเกษตรกรจะอยู่ได้ยังไง สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการผลิตทุกรอบเกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกทุกครั้งเพราะไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์เองได้ เนื่องจากเป็นเมล็ดที่ตัดต่อพันธุกรรม (GMO) สิ่งแวดล้อมก็เริ่มเสียตามไปด้วย ในแต่ละปีก็ต้องใช้ปุ๋ยยาที่มากขึ้นเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เท่าเดิม
คำจำกัดความของเกษตรกรนั่นก็คือ เป็นผู้ผลิตอาหาร แต่ผู้ผลิตอาหารไม่มีความมั่นคงในชีวิตเอาซะเลย แล้วปัญหาความอดอยากจะหมดไปจากโลกนี้ได้อย่างไรกัน
การปลูกพืช GMO ก็ต้องใช้เคมีเหมือนเดิม พอใช้ไปซักพักโรคและแมลงก็จะเกิดการดื้อต่อพืช GMO ก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลงที่แรงขึ้น ต้นทุนเพิ่มขึ้น ดินและสิ่งแวดล้อมก็เสีย ผลิตได้มากต้นทุนก็มากตาม ทั้งเรายังไม่รู้เลยว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน นั่นก็แสดงว่าพืช GMO ไม่สามารถลดปัญหาความอดอยากและลดต้นทุนการผลิตได้แม้แต่น้อย หรือที่บอกว่าเป็นการลดต้นทุนการผลิต แต่ถึงจะเป็นการลดต้นทุนแต่อย่าลืมว่าเกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกรอบไป ไทยเราเป็นผู้ผลิตอาหารอยู่ แล้วจะเข้าไปหา GMO กันทำไม ถ้าเราเข้าไปเอา GMO มาปลูก เทคโนโลยีทั้งหมดที่ไม่ใช่ของคนไทยเลย เราจะต้องมีค่าใช้จ่ายตรงนั้นเป็นจำนวนเท่าไหร่กัน กับเงินมากมายมหาศาลที่ภาครัฐต้องนำเข้าพืช GMO มาจากต่างประเทศ หรือถ้านำมาดัดแปลงพันธุกรรมในไทยก็ยังมีค่าสิทธิบัตรมากมายก่ายกองอีก คำที่บอกว่าทำเพื่อเกษตรกร แต่ผลประโยชน์มากมายเหล่านี้มันไปตกอยู่กับแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นหรือเปล่า ? แล้วที่บอกว่าทำเพื่อเกษตรกรล่ะ อันนี้น่าคิดนะครับ
อย่างในอเมริกาเกษตรกรปลูกข้าวโพดหลายพันไร่ก็จำเป็นต้องใช้พืช GMO ที่ซื้อจากบริษัทมาปลูก พืช GMO สามารถทนต่อหนอนเจาะลำต้นและทนต่อยาฆ่าหญ้า เพราะเขาทำในปริมาณมากทำให้ดูแลยาก แถมยาฆ่าหญ้าก็ต้องซื้อจากบริษัทเดียวกันกับบริษัทที่ขายเมล็ดพันธุ์ GMO ตอนนี้พอจะเห็นอะไรราง ๆ หรือยังครับ กลับมาที่ไทยเราบ้าง ประเทศของเรามีการทำเกษตรเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกจำนวน 4-5 ไร่ อย่างมากก็ 10-20 ไร่ ปัญหาเรื่องแมลงระบาด เรื่องวัชพืชเอาไม่อยู่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงเหมือนต่างประเทศ แล้วก็ไม่ได้ปลูกเป็นพันพันไร่เหมือนเขา เกษตรกรแต่ละรายสามารถดูแลผลผลิตในแปลงของตัวเองได้อย่างทั่วถึง แล้วทำไมเราจะต้องไปพึ่ง GMO ด้วย
GMO ปลอดภัยต่อมนุษย์จริงหรือ ?
สำหรับกลุ่มที่สนับสนุนก็บอกว่าปลอดภัย แต่ทุกวันนี้กลุ่มที่ต่อต้าน GMO ทำไมกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมืองไทยของเราก็มีอู่ข้าวอู่น้ำ มีข้าวปลาพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์มากมาย เรามีศักยภาพที่จะผลิตอาหารมากพอที่จะเลี้ยงคนทั่วประเทศ เป็นอาหารที่ปลูกโดยกระบวนการธรรมชาติที่ปลอดภัย แถมยังมีการส่งออกอีกด้วย แล้วทำไมต้องเลือก GMO ด้วย สิ่งที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมหรือ GMO ควรมีการทดลองไม่น้อยกว่า 70-80 ปีหรือ 1 ชั่วอายุคน ต้องทดสอบว่าปลอดภัยหรือไม่ ก่อนที่จะนำมาปลูกเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ แต่ในปัจจุบันคนกินยังไม่ถึง 20 ปีเลย กลับรีบนำเมล็ดพันธุ์มาขายและป่าวประกาศบอกว่า GMO ปลอดภัย แบบนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะครับ
ถ้าเราเก็บเมล็ดพันธุ์เอง เราจะมีความมั่นคงทางเมล็ดพันธุ์ คือ การที่ลูกหลานเราสามารถปลูกพืชแล้วเก็บเมล็ดพันธุ์ไปได้เรื่อย ๆ เพื่อนำไปปลูกต่อได้จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ใช่จะปลูกแล้วต้องไปหาซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกทุกรอบแบบนี้ ทั้งนี้ยังเป็นการอนุรักษ์เมล็ดพื้นบ้านไม่ให้สูญหายอีกด้วย
แล้วทำไมต้อง GMO !
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร
เชิญแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสุภาพชนครับ
