การปลูกกาแฟในสวนยาง
ผมมีที่สวนยางซึ่งเป็นของพ่อกับแม่อยู่แปลงหนึ่ง ปัญหาราคายางตกต่ำทำให้การขายในแต่ละรอบได้ไม่ดีเท่าที่ควร ลองศึกษาว่ามีอะไรอีกไหมที่สามารถจะปลูกแซมในสวนยางได้ดี ตอนแรกกะจะลงกล้วย แต่ตอนนี้ยางต้นใหญ่มากแล้วจึงทำให้แดดส่องไม่ถึงพื้น ศึกษาข้อมูลอีกก็พบว่ายังมีพืชอีกชนิดหนึ่งที่ชาวสวนยางนิยมปลูกแซมในสวนยางมากทีเดียว นั่นก็คือต้นกาแฟ กาแฟเป็นพืชที่ชอบร่มเงา ไม่ชอบแดดจัดจึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งให้การปลูกแซมในสวนยาง ซึ่งกาแฟที่อยู่ในประเทศไทยมีอยู่ 2 สายพันธุ์หลัก ๆ คือ
1.อาราบิก้า ต้นขนาดปานกลางไม่สูงใหญ่มาก เริ่มปลูกจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีก็จะให้ผลผลิต เมล็ดจะมีขนาดเล็กแต่จะมีกลิ่นหอม ผลผลิตมีน้อยแต่มีราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากนิยมนำไปทำกาแฟสด
2.โรบัสต้า ต้นมีขนาดสูงใหญ่ ทนทาน เริ่มปลูกจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีก็จะให้ผลผลิต กลิ่นไม่หอมมากนัก เมล็ดมีขนาดใหญ่กว่าอาราบิก้าและให้ผลผลผลิตสูง แต่ราคาจะถูกว่าอาราบิก้า มีคาเฟอีนสูงรสชาติเข้มข้น นิยมนำไปใช้ในการทำกาแฟ 3 in 1
ซึ่งสายพันธุ์ที่ผมได้มาคือ อาราบิก้า 80 เชียงใหม่ เป็นต้นกล้าพร้อมปลูก อายุที่จะให้ผลผลิตเริ่มที่ประมาณ 2-3 ปีแรก วิธีการปลูกนั้น ปลูกในร่องยางตรงกลางเป็นแถวเดี่ยว หรือปลูกแบบ 2 แถวโดยวัดออกมาจากต้นยาง 1.5 เมตร วิธีนี้จะทำให้รถวิ่งร่องกลางเพื่อเก็บผลผลิตได้ง่ายและปลูกได้เยอะกว่าแบบแรก โดยช่วงที่ปลูกเป็นช่วงต้นฝนประมาณมิถุนายน
วิธีการปลูกกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพารา : การสร้างรายได้เสริมอย่างยั่งยืน
การปลูกกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพาราเป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการเพิ่มรายได้และใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะแนะนำวิธีการปลูกกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพาราอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเริ่มต้นการเกษตรแบบผสมผสานได้อย่างมั่นใจ
เหตุผลที่ควรปลูกกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพารา
1. เพิ่มรายได้ : กาแฟเป็นพืชที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะกาแฟออร์แกนิค
2. ใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ : ปลูกพืชร่วมยางช่วยให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้มากขึ้น
3. ลดความเสี่ยงทางการเงิน : การปลูกพืชหลายชนิดช่วยกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
4. ปรับปรุงสภาพดิน : การปลูกพืชร่วมช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
5. สร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน : การทำเกษตรแบบผสมผสานช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ
ขั้นตอนการปลูกกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพารา
1. การเลือกพื้นที่
– เลือกพื้นที่ระหว่างแถวยางพาราที่มีอายุอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
– ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีแสงแดดส่องถึงพอประมาณ (กาแฟชอบร่มเงาบางส่วน)
– เลือกพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขัง
2. การเตรียมดิน
– ทำการวิเคราะห์ดินเพื่อตรวจสอบความเป็นกรด-ด่าง (pH) และธาตุอาหาร
– ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
– เพิ่มความเป็นกรดของดินถ้าจำเป็น โดยใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ขุยมะพร้าว หรือเปลือกไม้สับ
3. การเลือกพันธุ์กาแฟ
– เลือกพันธุ์กาแฟที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในพื้นที่
– พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย ได้แก่ อาราบิก้า และโรบัสต้า
– ควรเลือกกล้าพันธุ์ที่แข็งแรงและปราศจากโรค
4. การปลูก
– ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร
– ผสมดินปลูกด้วยปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงดิน
– ปลูกกล้ากาแฟโดยเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2-3 เมตร
– รดน้ำให้ชุ่มหลังปลูก
5. การดูแลรักษา
การดูแลรักษาต้นกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพาราเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิต ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเพิ่มเติมในแต่ละหัวข้อ:
5.1 การให้น้ำ
– ปริมาณน้ำ : ต้นกาแฟต้องการน้ำประมาณ 1,500-2,000 มิลลิเมตรต่อปี
– ความถี่ : ในช่วงฤดูแล้ง ให้น้ำทุก 7-10 วัน ส่วนในฤดูฝนอาจไม่จำเป็นต้องให้น้ำเพิ่ม
– วิธีการให้น้ำ : ใช้ระบบน้ำหยดหรือสปริงเกลอร์ขนาดเล็กเพื่อประหยัดน้ำ
– เวลาที่เหมาะสม : ให้น้ำในช่วงเช้าหรือเย็นเพื่อลดการระเหย
5.2 การใส่ปุ๋ย
– ชนิดของปุ๋ย : ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือน้ำหมักชีวภาพ
– ปริมาณ : ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักประมาณ 5-10 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี
– ความถี่ : แบ่งใส่ 2-3 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะในช่วงก่อนออกดอกและหลังเก็บเกี่ยว
– วิธีการใส่ : โรยปุ๋ยรอบทรงพุ่มแล้วพรวนดินกลบเล็กน้อย
5.3 การตัดแต่งกิ่ง
– ช่วงเวลา : ตัดแต่งหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่
– วิธีการ
– ตัดกิ่งที่แห้งตาย หรือเป็นโรค
– ตัดกิ่งที่ไขว้กันเพื่อให้แสงส่องถึงภายในทรงพุ่ม
– ควบคุมความสูงของต้นไม่ให้เกิน 2-2.5 เมตรเพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยว
– เครื่องมือ : ใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งที่คมและสะอาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
5.4 การควบคุมวัชพืช
– วิธีกล : ถอนหรือตัดวัชพืชด้วยมือหรือเครื่องตัดหญ้า
– การคลุมดิน : ใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ฟางข้าว ใบไม้แห้ง หรือเศษซากพืช คลุมโคนต้น
– พืชคลุมดิน : ปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อคลุมดินและเพิ่มไนโตรเจน
– ความถี่ : กำจัดวัชพืชทุก 2-3 เดือน หรือตามความจำเป็น
5.5 การป้องกันโรคและแมลง
– การตรวจสอบ : สำรวจต้นกาแฟเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อสังเกตอาการผิดปกติ
– การป้องกัน :
– ปลูกพืชไล่แมลง เช่น ตะไคร้หอม สะเดา รอบๆ แปลงกาแฟ
– ใช้กับดักกาวเหนียวหรือกับดักฟีโรโมนโมนเพื่อล่อแมลง
– การกำจัด :
– ใช้สารสกัดธรรมชาติ เช่น น้ำหมักสะเดา หรือน้ำส้มควันไม้ ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาด
– ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรคราที่เกิดจากเชื้อรา
6. การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของกาแฟ ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยว:
6.1 การประเมินความสุกของผลกาแฟ
– สีของผล :
– กาแฟอาราบิก้า: เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงเข้ม
– กาแฟโรบัสต้า: เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองหรือส้ม
– ความแน่นของผล : ผลที่สุกจะนิ่มเมื่อบีบเบาๆ
– ระยะเวลา : โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนหลังจากดอกบาน
6.2 วิธีการเก็บเกี่ยว
– การเก็บด้วยมือ :
– ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบผลกาแฟออกจากกิ่ง
– ระวังไม่ให้กระทบกระเทือนกิ่งและใบมากเกินไป
– อุปกรณ์ :
– ใช้ตะกร้าหรือถุงผ้าสะอาดในการใส่ผลกาแฟ
– สวมถุงมือผ้าเพื่อป้องกันมือและเพิ่มความสะดวกในการเก็บ
– ความถี่ :
– เก็บเกี่ยวทุก 7-10 วันในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
– อาจต้องเก็บ 3-4 รอบต่อต้นเพื่อให้ได้ผลที่สุกพอดีทั้งหมด
6.3 การคัดแยกคุณภาพ
– คัดแยกตามสี : แยกผลที่สุกเต็มที่ออกจากผลที่ยังไม่สุกหรือสุกเกินไป
– คัดแยกตามน้ำหนัก : ใช้วิธีลอยน้ำเพื่อแยกเมล็ดที่สมบูรณ์ (จม) ออกจากเมล็ดลีบ (ลอย)
– การทำความสะอาด : ล้างผลกาแฟด้วยน้ำสะอาดเพื่อกำจัดสิ่งสกปรก
6.4 การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
– การหมัก :
– นำผลกาแฟมาหมักในน้ำสะอาดประมาณ 24-36 ชั่วโมง
– สังเกตเนื้อเมือกที่หลุดออกมาและกลิ่นหอมของกาแฟ
– การล้าง : ล้างเมือกออกด้วยน้ำสะอาดจนหมด
– การตาก :
– ตากเมล็ดกาแฟบนลานตากที่สะอาดหรือใช้โรงตากพลังงานแสงอาทิตย์
– ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ให้ความชื้นเหลือประมาณ 11-12%
– การเก็บรักษา :
– เก็บเมล็ดกาแฟในกระสอบป่านหรือถุงผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
– เก็บในที่แห้ง เย็น และมืด เพื่อรักษาคุณภาพ
6.5 การบันทึกข้อมูล
– จดบันทึกวันที่เก็บเกี่ยว ปริมาณผลผลิต และคุณภาพของผลผลิตในแต่ละครั้ง
– ใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางแผนการผลิตและปรับปรุงคุณภาพในฤดูกาลถัดไป
ข้อควรระวังและเทคนิคพิเศษ
1. การจัดการร่มเงา : ควบคุมร่มเงาจากต้นยางพาราให้เหมาะสม โดยอาจต้องตัดแต่งกิ่งยางบ้างเพื่อให้แสงส่องถึงต้นกาแฟพอเหมาะ
2. การอนุรักษ์ดินและน้ำ : ใช้วิธีการอนุรักษ์ดินและน้ำ เช่น การปลูกพืชคลุมดิน หรือการทำขั้นบันไดในพื้นที่ลาดชัน
3. การผสมผสานพืช : พิจารณาปลูกพืชอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น พืชตระกูลถั่ว เพื่อเพิ่มไนโตรเจนในดิน
4. การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว : เรียนรู้วิธีการแปรรูปกาแฟแบบออร์แกนิคเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต
บทสรุป การปลูกกาแฟออร์แกนิคให้ได้คุณภาพดีที่สุด
การปลูกกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพาราให้ได้คุณภาพสูงสุดนั้น ต้องอาศัยความใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงการเก็บเกี่ยวและแปรรูป ต่อไปนี้คือสรุปแนวทางสำคัญในการผลิตกาแฟออร์แกนิคคุณภาพเยี่ยม:
1. การเลือกพื้นที่และพันธุ์ที่เหมาะสม
– เลือกพื้นที่ที่มีร่มเงาจากต้นยางพาราพอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป
– เลือกพันธุ์กาแฟที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศและความสูงของพื้นที่
2. การจัดการดินอย่างมีประสิทธิภาพ
– วิเคราะห์และปรับปรุงดินด้วยวัสดุอินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ
– ใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงและน้ำหมักชีวภาพเพื่อเสริมธาตุอาหาร
3. การจัดการน้ำอย่างเหมาะสม
– ให้น้ำในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล
– ใช้ระบบน้ำหยดเพื่อประหยัดน้ำและให้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
– ตัดแต่งกิ่งเป็นประจำเพื่อควบคุมทรงพุ่มและส่งเสริมการออกผล
– กำจัดวัชพืชด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การคลุมดินหรือใช้พืชคลุมดิน
5. การป้องกันและควบคุมศัตรูพืชแบบองค์รวม
– ใช้วิธีการควบคุมศัตรูพืชแบบผสมผสาน (IPM) โดยเน้นวิธีธรรมชาติ
– ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในสวนเพื่อสร้างสมดุลระบบนิเวศ
6. การเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน
– เก็บเกี่ยวเฉพาะผลที่สุกเต็มที่ด้วยมือ
– เก็บเกี่ยวหลายรอบเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ
7. การแปรรูปที่ถูกต้องและรวดเร็ว
– แปรรูปผลผลิตทันทีหลังเก็บเกี่ยวเพื่อรักษาคุณภาพ
– ใช้วิธีการแปรรูปที่เหมาะสม เช่น วิธีเปียก (wet process) สำหรับกาแฟอาราบิก้า
8. การควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน
– ตรวจสอบและคัดแยกคุณภาพผลผลิตอย่างเข้มงวด
– บันทึกข้อมูลทุกขั้นตอนเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับและปรับปรุงคุณภาพ
9. การพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง
– ศึกษาและติดตามเทคโนโลยีและวิธีการใหม่ๆ ในการปลูกกาแฟออร์แกนิค
– แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเกษตรกรรายอื่นหรือผู้เชี่ยวชาญ
10. การสร้างมูลค่าเพิ่มและการตลาด
– พัฒนาเรื่องราวและอัตลักษณ์ของกาแฟจากสวนยางพารา
– สร้างความสัมพันธ์กับผู้ซื้อและผู้บริโภคเพื่อสร้างตลาดที่ยั่งยืน
การปลูกกาแฟออร์แกนิคในสวนยางพาราไม่เพียงแต่เป็นการสร้างรายได้เสริม แต่ยังเป็นการส่งเสริมระบบเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การปลูกจนถึงการแปรรูปจะช่วยให้ได้ผลผลิตกาแฟคุณภาพสูง ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค แต่ยังสามารถสร้างชื่อเสียงและราคาที่ดีให้กับผลิตภัณฑ์ของคุณ การทำเกษตรแบบผสมผสานเช่นนี้จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตและรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
เริ่มปลูก 24 มิถุนายน 2559
การปลูกกาแฟในสวนยาง ปลูกแบบ 2 แถวโดยวัดออกมาจากต้นยาง 1.5 เมตร
วัดจากต้นยางออกมาประมาณ 1.5 เมตร ระยะห่างต้นกาแฟ 1.5 เมตร
ขุดหลุมลึกประมาณฝ่ามือ แกะถุงชำนำต้นกาแฟลงดิน กดให้แน่นพอประมาณ
จากนั้นผ่านไป 45 วัน สามารถใส่ปุ๋ยคอกเพื่อเป็นอาหารในการเร่งการเจริญเติบโต
10 กันยายน 2559
ถางหญ้าระหว่างต้นออกเป็นแนวครับ
การปลูกกาแฟในสวนยาง ข้อควรรู้ : ควรปลูกในที่ต้นยางโตจะเริ่มร่มเงาคลุมแล้ว จะได้ไม่ต้องถางหญ้าเยอะครับ เพราะกาแฟเป็นพืชอาศัยร่มอยู่แล้ว
ฉีดปุ๋ยบำรุงทางใบสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ทำการใส่ปุ๋ยคอกเดือนละครั้ง (ขี้วัว ขี้ไก่ ขี้หมูแล้วแต่สะดวก) หากต้นยังเล็กอยู่ให้ใส่ 1 กำมือพอประมาณ
เข้าหน้าแล้งเตรียมท่อน้ำหยดใส่ต้นกาแฟ ถ้าไม่ใส่น่าจะไม่รอดครับ
……….
ตั้งแต่ปลูกกาแฟในสวนยางมาผมก็เห็นพัฒนาการโตมาเรื่อย ๆ ผมจึงอยากจะทำซีรี่ย์ชุดหนึ่งขึ้นมา เป็นการติดตามการเจริญเติบโตของการปลูกการแฟในสวนยาง ซึ่งผมตั้งใจที่จะทำเป็นกาแฟอินทรีย์หรือกาแฟออร์แกนิค ไล่ไปตั้งแต่ปลูกจนเสิร์ฟถึงแก้ว ใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี ตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีกี่ตอนครับ เพิ่มเติมอะไรหรืออยากรู้เรื่องไหนเกี่ยวกับกาแฟบอกได้นะครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
การปลูกกาแฟในสวนยาง